History of Timekeeping ประวัติศาสตร์ และ วิวัฒนาการ การนับเวลาของนาฬิกาในแต่ละยุค | Auction House

ดูวิดีโอ History of Timekeeping ประวัติศาสตร์การนับเวลาของนาฬิกาในแต่ละยุค
อย่าลืมกด ติดตาม เพื่อรับชมวิดีโอที่น่าสนใจก่อนใคร

ประวัติศาสตร์อุปกรณ์จับเวลา

หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่ามนุษย์ได้เริ่มต้นนับเวลามาตั้งแต่ยุคหินหรือประมาณเมื่อ 20,000 ปีที่แล้ว พวกเขานับวันเวลาเพื่อวางแผนการเก็บเสบียง หาฤดูกาลที่ใช่ในการทำเกษตร นัดแนะเวลาค้าขายกับชนชาติอื่นจากแดนไกล หรือแม้แต่ใช้ในการเดินเรือก็มี และสำหรับเราในยุคนี้การรู้วันและเวลาก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว จากสองหมื่นปีวันนั้นจนถึงวันนี้มนุษย์ต้องดิ้นรนฝ่าฟันอะไรมาบ้าง และเรื่องราวกว่าอุปกรณ์การนับเวลาจะกลายเป็น "นาฬิกา" อย่างที่เราเห็นวันนี้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง

ปี 18000 – 8000 ก่อนคริสตศักราช (20,000 ปีที่แล้ว) จุดเริ่มต้นของการนับเวลา

ย้อนกลับไปเมื่อ 20,000 ปีที่แล้ว ก่อนที่มนุษย์จะรู้จักการนับเวลา พวกเขาก็สามารถนับวันได้แล้วโดยสังเกตจากการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ มีการค้นพบกระดูกที่มีร่องรอยสลักของการนับตัวเลขที่หุบเขา Semliki ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซึ่งคาดว่าเป็นความพยายามครั้งแรก ๆ ของมนุษย์ในการนับวัน และในอีกหนึ่งหมื่นปีถัดมาก็มีการค้นพบหลุมรูปทรงดวงจันทร์ในประเทศสกอตแลนด์ คาดว่าหลุมนี้ขุดโดยมนุษย์เพื่อบันทึกวงจรจันทรคติ (Lunar Cycle)

ปี 3500 – 1500 ก่อนคริสตศักราช (5,500 ปีที่แล้ว) นาฬิกาเรือนแรกของโลก

กว่า 15,000 ปีถัดมาเริ่มมีการนับเวลาเป็นชั่วโมงครั้งแรกในโลกที่ประเทศอียิปต์ พวกเขาเป็นชนชาติแรกที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นกลุ่มที่จริงจังเรื่องการนับเวลาอย่างมาก ซึ่งในยุค Stone Age นี้มนุษย์ได้สร้างอุปกรณ์ทุกอย่างจากหินแถมยังมีความรู้เรื่องตัวเลขและดาราศาสตร์อีกด้วย อุปกรณ์นับเวลาของชาวอียิปต์จึงเป็นเสา Obelisk ซึ่งเป็นเสาหินสูงขนาดใหญ่และมีด้านปลายเป็นทรงพีระมิด ซึ่งสามารถดูเวลาได้จากเงาของเสาและแบ่งหน่วยเวลาให้เล็กลงจากวันเป็นชั่วโมงเท่า ๆ กัน นอกจากนี้ความยาวของเงายังสามารถบอกวันที่สั้นหรือยาวที่สุดของปีได้ สองพันปีถัดมามนุษย์ได้เข้าสู่ Bronze Age และมีความรู้เรื่องในการผสมผสานเหล็ก ชาวอียิปต์ได้อัปเกรดนาฬิกาแดดนี้ด้วยวัสดุใหม่และคำนึงถึงความสะดวกในการใช้งานยิ่งขึ้น จนออกมาเป็นนาฬิกา “Sundial” อุปกรณ์ที่มาพร้อมแท่งสะท้อนเงาและมาร์คเกอร์บอกชั่วโมงในชิ้นเดียว แต่ข้อเสียของนาฬิกาแดดก็คงเป็นเรื่องที่ชัดเจนอยู่แล้วว่ามันไม่สามารถใช้งานได้ในตอนกลางคืน วันที่มีเมฆเยอะ แถมระยะเวลาการขึ้นตกของดวงอาทิตย์ก็ไม่เท่ากันในแต่ละฤดู

ปี 1400 – 1300 ก่อนคริสตศักราช (3,400 ปีที่แล้ว) นาฬิกาน้ำที่บอกเวลาได้ทั้งวัน

นาฬิกาน้ำ (Clepsydras) คือนาฬิกาที่ชาวอียิปต์ได้พัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหานาฬิกาแดด พวกเขาใช้วิธีการปล่อยน้ำจากภาชนะหนึ่งไปยังอีกภาชนะหนึ่งโดยให้น้ำไหลด้วยความเร็วคงที่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีการมาร์คชั่วโมงไว้ที่ภาชนะเพื่อดูเวลา ซึ่งระยะเวลาที่น้ำไหลออกคือจำนวนเวลาที่ผ่านไปนั่นเอง นาฬิกาน้ำสามารถใช้บอกเวลาได้ทั้งวันและเป็นที่นิยมในที่อื่นอีกด้วย ภายหลังชาวกรีกและชาวจีนได้ต่อยอดนาฬิกาน้ำชิ้นนี้ให้มีความแม่นยำและฟังก์ชั่นที่มากยิ่งขึ้น

ปี 600 ก่อนคริสตศักราช (2,600 ปีที่แล้ว) เมื่อดวงดาวสามารถบอกเวลาได้

ด้วยความรู้ในด้านคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ยังคงไม่หยุดพัฒนาการนับเวลา จึงได้สร้าง “Merkhet” เครื่องมือทางดาราศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดเพื่อใช้ดูเวลาหลังอาทิตย์ตก อุปกรณ์ประกอบด้วยแท่งบาร์และสายที่มีทุ่มน้ำหนักถ่วงอยู่ที่ปลาย วิธีการดูเวลาคือใช้ Merkhet สองชิ้นทำเป็นเส้นเมอริเดียนและให้เส้นเป็นไปในทางเดียวกับดาวเหนือ จากนั้นจึงนับเวลาเมื่อดาวต่าง ๆ ข้ามผ่านเส้นเมอริเดียนไป ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในยุคนั้น

ปี 100 ก่อนคริสตศักราชถึงปี 1300 (2,100 ปีที่แล้ว) ยุคที่นาฬิกาน้ำทำงานพร้อมกับกลไก

พันกว่าปีถัดมาหลังจากการผลิตนาฬิกาน้ำเรือนแรกของโลก ทางฝั่งยุโรปชาวกรีกและชาวโรมที่เป็นช่างทำนาฬิกาและนักดาราศาสตร์ได้พัฒนาต่อยอดนาฬิกาน้ำของชาวอียิปต์ โดยมีการเพิ่มหน้าปัดบอกเวลาและกลไกเพื่อควบคุมแรงดันน้ำ นาฬิกาน้ำบางเรือนมีลูกเล่นพิเศษที่สามารถส่งเสียงได้ บ้างก็แสดงโมเดลทางดาราศาสตร์ได้ด้วย ทางฝั่งตะวันออกก็มีนวัตกรรมไม่แพ้ฝั่งตะวันตกเช่นกันเมื่อ Su Sung และเพื่อนได้ทำการสร้างหอคอยนาฬิกาน้ำในปี 1088 ซึ่งมีความสูงถึง 10 เมตร เขาได้พัฒนาต่อยอดจากกลไกนาฬิกาน้ำของ Yi Xing และ Liangzan ผู้ผลิตนาฬิกาน้ำที่มีกลไกคนแรกของจีน หอคอยนาฬิกาของ Su Sung สามารถส่งเสียงเพื่อบอกเวลาชั่วโมงและเวลาพิเศษในแต่ละวันได้ นอกจากนี้ยังมีนาฬิกาแบบอื่น ๆ ที่ใช้หลักการเดียวกับนาฬิกาน้ำคือการนับเวลาจากการเดินทางของวัตถุบางอย่าง เช่น นาฬิกาเทียนไขที่เชื่อว่าเป็นของ King Alfred the Great จากประเทศอังกฤษในปี 800 มีการนับช่อง 1 ช่องเท่ากับ 20 นาที และนาฬิกาทรายที่เราเป็นที่รู้จักกันดี ในช่วงศตวรรษที่ 15 ที่มักใช้ในการเดินเรือ ใช้ที่โบสถ์ ใช้ในการปรุงอาหาร สาเหตุที่มีการใช้แพร่หลายขนาดนี้เป็นเพราะว่ามันเป็นนาฬิกาที่พึ่งพาได้ ไม่ยุ่งยาก และผลิตได้ง่าย

ปี 1300 - 1510 (719 ปีที่แล้ว) จุดเริ่มต้นของนาฬิกากลไก และที่มาของคำว่า “นาฬิกา”

ถัดมาในช่วงยุคเรเนสซองส์ (Renaissance) ยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะและนวัตกรรมซึ่งสะท้อนออกมาได้ดีผ่านทางเลโอนาร์โด ดา วินชี อัจฉริยะเจ้าของภาพวาด “Mona Lisa” และสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ที่ล้ำหน้าในยุคนั้น เช่น เฮลิคอปเตอร์ เครื่องบิน เครื่องมือวัดความเร็วลม รถยนต์ เป็นต้น จุดเด่นที่เกี่ยวข้องกับนาฬิกามากที่สุดก็คือเรื่อง “กลไก” ซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับผู้คนในยุคนี้ มนุษย์จึงได้ตัดสินใจที่จะพึ่งพา “การถ่วงน้ำหนัก” ผสานกับกลไกและฟันเฟืองต่าง ๆ ในการนับเวลา กลไกนาฬิกาครั้งแรกมีชื่อว่ากลไก Verge and Foliot คิดค้นโดย Richard จาก Wallingford ในปี 1300 เป็นกลไกที่ใช้ในหอนาฬิกาประจำเมืองหรือโบสถ์ โดยปกติมักจะบอกเวลาพร้อมกับการสั่นระฆัง ซึ่งคำว่า “ระฆัง” ในภาษาฝรั่งเศสคือ “cloche” จึงได้กลายมาเป็นคำศัพท์ของคำว่า “นาฬิกา (Clock)” ทุกอย่างเริ่มต้นผ่านไปได้ด้วยดีจนกระทั่งพบว่านาฬิกาเรือนนี้มีความคาดเคลื่อนถึง +/- 30 นาทีต่อวัน! เทคโนโลยีได้ก้าวหน้าไปอีกขั้นในปี 1510 เมื่อ Peter Henlein ช่างทำกุญแจจากประเทศเยอรมนี เขาได้ผลิตนาฬิกาขนาดเล็ก “Nuremberg Egg” (ไม่ใช่ Pocket Watch เพราะสวมใส่ด้วยการคล้องคอ) ที่ใช้ “สปริง” ในการให้พลังงานนาฬิกา ซึ่งนาฬิกาของเขาได้กระแสตอบรับดีมากโดยเฉพาะจากบรรดาเศรษฐีในยุคนั้นเนื่องจากพกพาได้สะดวก แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่บ้างเพราะว่านาฬิกาจะเดินช้าลงในขณะที่สปริงคลายตัว

ปี 1582 – 1656 (437 ปีที่แล้ว) ยุคเรืองปัญญากับนาฬิกาเพนดูลัม

ความอัจฉริยะของดา วินชี่ ได้ส่งผลกระทบต่อผู้คนให้คิดเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น มนุษย์จึงได้ก้าวเข้ามาสู่ยุคเรืองปัญญา (Enlightenment) ที่วิทยาศาสตร์เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการใช้ชีวิต ในปี 1582 กาลิเลโอ คิดค้นกล้องส่องทางไกล กล้องโทรทรรศน์ เข็มทิศ และอื่น ๆ อีกมากมายจนได้รับสมญานามว่า “บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ยุคใหม่” เขาได้สังเกตว่าโคมไฟระย้ามักแกว่งไปมาในความเร็วที่เท่ากันเสมอโดยไม่ขึ้นอยู่กับขนาดของโคมไฟ ซึ่งภายหลังกลายมาเป็นหลักการ “เพนดูลัม (ลูกตุ้มนาฬิกา)” และในปี 1656 นักดาราศาสตร์ชาวดัตช์ Christiaan Huygens ได้ต่อยอดแนวคิดนี้โดยการสร้างนาฬิกาที่ใช้เพนดูลัมในการนับเวลา ผลลัพธ์ทีได้คือความแม่นยำที่สูงขึ้นอย่างมากและมีความคลาดเคลื่อนเพียง +/- 10 วินาทีต่อวันเท่านั้น ข้อเสียคือเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลกที่ส่งผลกระทบต่อการเหวี่ยงของลูกตุ้ม และนาฬิกาจำเป็นต้องวางบนพื้นเรียบเท่านั้นซึ่งไม่ตอบโจทย์ของนักเดินเรือเลย

ปี 1670 – 1721 (349 ปีที่แล้ว) นาฬิกาคุณปู่และการมาของ Pocket Watch

เข้าสู่ยุคตอนต้นของ Industrial Revolution เมื่อมนุษย์ได้ต่อยอดแนวคิด Creative และ Innovative จากยุค Renaissance ให้มาเน้นเรื่องประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เราจึงได้เห็นการพัฒนานาฬิกาที่แม่นยำมากยิ่งขึ้นทุกครั้งที่มีรุ่นใหม่ออกมา และในปี 1670 ช่างทำนาฬิกาชาวอังกฤษ William Clement ได้สร้าง “นาฬิกาคุณปู่” ที่มีการเพิ่มความยาวของเพนดูลัมเป็น 1 หลาและใส่กรอบไม้เพื่อป้องกันลูกตุ้มให้พ้นจากแรงลม แถมยังเป็นเป็นครั้งแรกที่มีการเพิ่มเข็มนาทีเข้ามาอีกด้วย และในปี 1721 คุณ George Graham ได้พยายามปรับปรุงนาฬิกาเพนดูลัมให้แม่นยำยิ่งขึ้น เขาลดความคลาดเคลื่อนลงเหลือเพียงแค่ +/- 1/100 วินาทีต่อวัน และได้รับการยอมรับให้เป็นเวลามาตรฐานของหอดูดาวดาราศาสตร์อีกด้วย ต่อมาในปี 1675 เมื่อ Huygens และ Robert Hooke ได้คิดค้น “Hairspring” เพื่อควบคุมการสั่นไหวของ “Balance Wheel” ช่วยให้สปริงไม่คลายตัวหมด ทำให้สามารถลดความคลาดเคลื่อนจากหลายชั่วโมงต่อวันจนเหลือเพียง +/- 10 นาทีต่อวัน จากนั้นช่างทำนาฬิกาชาวอังกฤษ Thomas Tompion จึงได้นำกลไกนี้มาสรรสร้าง Pocket Watch เรือนแรกของโลกจนสำเร็จ!

ปี 1707 – 1904 (312 ปีที่แล้ว) ยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรมกับนาฬิกาข้อมือ

ศตวรรษที่ 17 คือยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ในปี 1698 เป็นยุคที่เริ่มใช้เครื่องยนต์ไอน้ำ ทุกอย่างเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นยุคแห่งการเดินทางไม่ว่าจะใช้ค้าขายหรือล่าอาณานิคม ทำให้นาฬิกามีบทบาทสำคัญในการคำนวณและการเดินทาง ในปี 1707 เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่เมื่อเรือรบของอังกฤษ 4 ลำได้เกยตื้นเนื่องจากความผิดพลาดของนาฬิกา ทางอังกฤษจึงได้เสนอเงินรางวัล 20,000 ปอนด์ (เทียบเป็นเงินหลายล้านบาทในยุคนี้) ให้กับคนที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ และ John Harrison คือผู้ชนะรางวัลนี้ เขาได้เริ่มสร้าง Chronometer (เครื่องวัดความเที่ยงตรง) เรือนแรกในปี 1735 และทดลองเรื่อย ๆ จนสำเร็จในปี 1761 เขาได้สร้างนาฬิกา Pocket Watch ชื่อ “H4” ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนน้อยกว่า 1 วินาทีต่อวัน และใช้งานบนเรือได้อย่างไม่ติดขัด!

อย่างที่ได้กล่าวว่ายุคนี้ทุกสิ่งเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มนุษย์ได้พัฒนาทุกสิ่งอย่างก้าวกระโดด เช่น มีการแทนที่แรงงานมนุษย์ด้วยเครื่องจักร มีโทรเลขครั้งแรก มีโทรศัพท์ครั้งแรก มีรางรถไฟ มีรถยนต์ แม้แต่เครื่องบินก็เกิดในยุคนี้ บริษัท Garstin จากลอนดอนได้จดสิทธิบัตรดีไซน์นาฬิกาข้อมือ “Watch Wristlet” เป็นครั้งแรกในปี 1893 การใช้นาฬิกาข้อมือครั้งแรกเกิดขึ้นในสงครามช่วงปี 1880s เช่น สงคราม Anglo-Burma War ทหารต้องใช้นาฬิกาเพื่อนัดแนะเวลาในการรบหรือถอยทับ แต่การใช้ Pocket Watch นั้นไม่สะดวกในการรบอย่างยิ่ง พวกทหารจึงนำสายหนังมาผูกกับนาฬิกาพกจนกลายเป็นนาฬิกาข้อมือนั่นเอง แต่นี่ก็ยังไม่ได้ถือว่าเป็นนาฬิกาข้อมือจริง ๆ จนกระทั่งในปี 1904 เพื่อนนักบินของ Louis Cartier ได้ขอร้องให้เขาทำนาฬิกาข้อมือเพื่อใช้ดูเวลาระหว่างการบิน ซึ่ง Cartier ก็ตอบตกลงและทำสำเร็จโดยการเพิ่มส่วน Lug เข้ามาบนเคสนาฬิกา และนับตั้งแต่นั้นมานาฬิกาข้อมือก็เริ่มเป็นที่แพร่หลายมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ทั้งทหารบกและทหารอากาศต่างล้วนสวมใส่นาฬิกาข้อมือในการรบทั้งสิ้น

ปี 1927 – 1969 (92 ปีที่แล้ว) นาฬิกาข้อมือ Quartz กับความแม่นยำและราคาที่ย่อมเยากว่านาฬิกากลไก

ทุกอย่างในตอนนั้นอยู่ในสภาวะตึงเครียดเพราะว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 เพิ่งจะจบได้ไม่ทันไร สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เริ่มเปิดฉากขึ้น ไฟสงครามได้ลามมาถึงบริษัทนาฬิกาทั่วโลก เช่น โรงงานของ A. Lange & Söhne โดนระเบิดจนย่อยยับ หรือจะเป็น Seiko ที่โรงงานนาฬิกาถูกดัดแปลงมาเป็นโรงงานผลิตกระสุน แถมยังโดนระเบิดซ้ำอีกจนต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ สำหรับนาฬิกา Quartz ตัวแรกถูกสร้างในปี 1927 โดย Warren Marrison และ J. W. Horton จาก Bell Telephone Laboratories ใน Canada เพราะพวกเขาต้องการความแม่นยำในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถใช้งานได้ในสภาพสุญญากาศ การทำงานของนาฬิกา Quartz คือวัดจากจำนวนการสั่นไหวของ Quartz Crystal ซึ่งจะสั่น 32,768 ครั้งใน 1 วินาที ทำให้นาฬิกา Quartz มีความแม่นยำสูงที่คาดเคลื่อนเพียง +/- 10 วินาทีต่อปีเท่านั้น สาเหตุที่ยังคาดเคลื่อนอยู่เป็นเพราะสภาพอากาศที่ร้อนเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบได้

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง มนุษย์ก็ได้เข้าสู่ยุค Technological Revolution และโลกของนาฬิกาก็ได้เริ่มต้นยุคนี้ด้วยการปล่อยนาฬิกาข้อมือแบบ Quartz รุ่นแรกของโลกในปี 1969 คือรุ่น Astron 35SQ ผลิตโดย Seiko ที่ทำเอาทั้งโลกต้องตกตะลึงเพราะนาฬิการุ่นนี้มีความแม่นยำกว่านาฬิกากลไกทุกเรือนและที่สำคัญคือมีราคาถูกกว่าที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ จริง ๆ แล้วเทคโนโลยีของ Quartz มีบทบาทสำคัญมากกว่าการเป็นนาฬิกา เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มนุษย์สามารถย่อส่วนเครื่องมือวัดเวลาให้มีขนาดเล็กและแม่นยำได้ขนาดนี้ เป็นการเปิดประตูสู่เทคโนโลยีใหม่ ๆ จึงนับได้ว่านี่คือก้าวเล็ก ๆ ก้าวแรกสู่ยุค Technological Revolution อย่างเต็มตัว

ปี 1967 – ปัจจุบัน (52 ปีที่แล้ว) นาฬิกา Atomic กับนิยามใหม่ของ “วินาที”

ชีวิตในยุค Technological Revolution ณ ปัจจุบันนี้คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “การรู้เวลาอย่างแม่นยำ” เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ “ทุกคน” บนโลกใบนี้ แม้ความแม่นยำของนาฬิกา Quartz ที่ +/- 1 วินาทีต่อปีอาจจะเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่โลกนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว ณ ตอนนี้คนทั่วโลกเชื่อมโยงกันหมด และทุกคนต้องการเวลาที่มีมาตรฐานเท่ากันทั่วโลกและมีความเที่ยงตรงที่ไม่มีที่ติ ด้วยเหตุนี้นาฬิกา Atomic จึงถือกำเนิดขึ้นมา

นาฬิกา Atomic นับเวลาโดยใช้ Cesium ซึ่งสรุปขั้นตอนสั้น ๆ ได้ว่าเป็นการใช้เลเซอร์อินฟาเรดยิงไปที่อะตอมของ Cesium เพื่อดันมันขึ้นไปให้ทะลุผ่านหลุมคลื่นไมโครเวฟ จากนั้นปล่อยให้อะตอมหล่นลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลกผ่านหลุมนั้นไปอีกที และอะตอมจะส่องแสงออกมาทุกครั้งที่ผ่านหลุม ต่อมาคอมพิวเตอร์จะจดบันทึกค่าความถี่จากแสงดังกล่าว เนื่องจากการขึ้นลงของอะตอมใน 1 รอบมีค่าเท่ากับ 1 วินาที เพราะฉะนั้นเวลา 1 วินาทีจึงเท่ากับค่าความถี่ของ Cesium ที่ 9,192,631,770 รอบซึ่งเป็นความแม่นยำที่เที่ยงตรงที่ +/- 1 วินาทีใน 30 ล้านปี! นาฬิกา Atomic รุ่น NIST F-1 ผลิตโดย National Institute of Science and Technology (NIST) จากสหรัฐอเมริกา ได้รับการรับเลือกให้เป็นมาตรฐานเวลาของโลกนับตั้งแต่ปี 1967 เป็นต้นมา เวลาในโน้ตบุ้คหรือมือถือของเราล้วนมาจากนาฬิกาตัวนี้ทั้งสิ้น

การนับเวลายังไม่ได้จบลงแค่นี้เพราะมนุษย์เราก็ยังคงพัฒนาต่อไป และล่าสุดในปี 2015 ก็ได้มีการประดิษฐ์นาฬิกา Optical Clock ซึ่งใช้หลักการเดียวกับ Atomic Clock แต่ใช้ Strontium เป็นสสารหลักและใช้เลเซอร์แทนคลื่นไมโครเวฟ ทำให้บอกเวลาได้แม่นยำได้นานถึง 13,700 ล้านปี! และก็ยังมีองค์กร International Atomic Time (TAI) จากฝรั่งเศสที่มีการนับเวลาได้แม่นกว่า NIST ถึง 37 วินาที และเป็นผู้ตัดสินใจเพิ่มเวลา 1 วินาทีให้กับเวลาโลกในวันที่ 31 ธันวาคมปี 2016 อีกด้วย ครั้งต่อไปเมื่อมีคนถามคุณว่า “ตอนนี้กี่โมงแล้ว” คำตอบนั้นคงไม่ใช่แค่การบอกเวลาอย่างแน่นอน

RELATED POSTS

Our recent work

นาฬิกา Grand Seiko SLGA025G จากหุบเขา Atera
นาฬิกา Grand Seiko SLGA025G จากหุบเขา Atera
Grand Seiko แบรนด์นาฬิกาหรูจากประเทศญี่ปุ่น…
Konstantin Chaykin เป็นนาฬิกาจักรกลที่บางที่สุดในโลก
Blancpain Air Command Flyback Chronograph ความงดงามที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการบิน
Blancpain Air Command Flyback Chronograph ความงดงามที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการบิน
Blancpain หนึ่งในผู้ผลิตนาฬิกาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก…
ความงดงามเหนือกาลเวลากับนาฬิกา Cartier Crocodile Jewelry Métiers d'Art
Chopard Alpine Eagle XL Chrono Watch in 18K Rose Gold นาฬิการุ่นใหม่ ปี 2024
Chopard Alpine Eagle XL Chrono Watch in 18K Rose Gold นาฬิการุ่นใหม่ ปี 2024
Chopard เป็นแบรนด์นาฬิกาที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน…
Zenith Defy Skyline Tourbillon Felipe Pantone Edition นาฬิกาใหม่สีสันสวยงาม
Seamaster Regatta นาฬิกาสุดยอดแห่งการแข่งเรือระดับโลก
Omega Constellation 28mm Two Tone นาฬิการุ่นใหม่ล่าสุด
TAG Heuer Monaco Chronograph Racing Green นาฬิกาสปอร์ตสีเขียวรุ่นใหม่ ปี 2024
TAG Heuer Monaco Chronograph Racing Green นาฬิกาสปอร์ตสีเขียวรุ่นใหม่ ปี 2024
TAG Heuer (แท็ก ฮอยเออร์) แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิส…