เราใช้คุกกี้เพื่อทำให้ประสบการณ์ของคุณดีขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับคำสั่งใหม่ของ e-Privacy เราจำเป็นต้องขอความยินยอมจากคุณในการตั้งค่าคุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติม
รายละเอียดและจุดเด่นของ Rolex แต่ละรุ่น
รายละเอียดและจุดเด่นของ Rolex แต่ละรุ่น
วิธีสังเกตจุดเด่นของ Rolex แต่ละรุ่น
นับตั้งแต่ Rolex เกิดมาในปี 1905 จนถึงวันนี้ก็ผ่านมานานกว่า 114 ปีแล้ว นี่คือแบรนด์นาฬิกายอดเยี่ยมที่คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ต่างต้องเคยได้ยินชื่อ Rolex อย่างแน่นอน สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการอาจจะรู้สึกท่วมท้นกับชื่อ ชื่อเล่น และชื่อย่อของ Rolex แต่ละรุ่น เราจึงได้ทำสรุปรวบรวมข้อมูลและวิธีสังเกตจุดเด่นของแต่ละเรือนในฉบับเข้าใจง่าย โดยแบ่งเป็น 2 หมวด คือ Classic Watch ที่เน้นใช้ในชีวิตประจำวันและ Professional Watch ที่เน้นใช้งานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
Rolex Classic Models
OYSTER PERPETUAL ต้นตำหรับที่ทำให้ ROLEX เป็นตำนาน
Oyster Perpetual เป็นรุ่นที่สานต่อจากรุ่น Oyster ที่เปิดตัวในปี 1926 ซึ่งเป็นนาฬิกาเรือนแรกของโลกที่สามารถกันน้ำกันฝุ่นได้ นี่คือรากฐานของนาฬิกา Rolex ทุกเรือนถึงขนาดที่ว่าชื่อเต็มของนาฬิกาทุกรุ่นต้องมีคำว่า “Oyster Perpetual” นำหน้าก่อนเสมอ ปัจจุบัน Oyster Perpetual มีหน้าตาเรียบง่ายคงความคลาสสิกของรุ่นเดิมซึ่งสังเกตได้จากหน้าปัดที่ไม่มีฟังก์ชั่นพิเศษและมีขอบ Bezel ที่เรียบเนียน และแน่นอนว่ายังสามารถกันน้ำได้เหมือนเดิมที่ความลึก 100 เมตร มีขนาดให้เลือกคือ 26, 31, 34, 36, และ 39 มม. พร้อมกับสีหน้าปัดมากมาย เช่น ขาว ชมพู เขียว น้ำตาล ราคาเริ่มต้นอยู่ในช่วง 170,000 บาท นับว่าเป็นรุ่นที่มีค่าตัวย่อมเยาที่สุด
DATEJUST นาฬิกาเรือนแรกของ ROLEX ที่มีวันที่
Datejust เปิดตัวครั้งแรกในปี 1945 โดยมีหน้าต่างวันที่และขอบ Bezel แบบ “ซัดร่อง” ซึ่งได้กลายมาเป็นดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Rolex ในท้ายที่สุด นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับสาย Jubilee ปัจจุบันได้มีการตกแต่งให้ใช้งานได้สะดวกและงดงามยิ่งขึ้นโดยการเพิ่มเลนส์ Cyclops ตรงหน้าต่างวันที่เพื่อให้เห็นตัวเลขใหญ่กว่าเดิมพร้อมกับการตกแต่งมาร์คเกอร์ด้วยทองคำประดับเพชร หากเจอนาฬิกา Rolex ที่มี “แค่วันที่” ขอให้รู้เลยว่านี่คือ DateJust ตัวเรือนมีให้เลือก 3 ขนาดคือ 31, 36. 41 มม. พร้อมหน้าปัดหลากหลายสี แม้รุ่นนี้จะมีจุดเด่นที่ขอบหน้าปัดซัดร่องแต่ก็มีรุ่นขอบหน้าปัดแบบเรียบให้เลือกด้วยเช่นกัน ราคาเริ่มต้นอยู่ในช่วง 291,000 – 1,570,000 บาทขึ้นอยู่กับขนาดและวัสดุตัวเรือน
LADY-DATEJUST เรือนนาฬิกา DATEJUST สำหรับสุภาพสตรี
Datejust ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยมจนทาง Rolex ต้องออก Lady-Datejust เพื่อคุณผู้หญิง โดยลดขนาดตัวเรือนลงเหลืออยู่ที่ 28 มม. แต่ก็ไม่ได้ลดประสิทธิภาพของนาฬิกาแต่อย่างใด คุณสามารถสวมใส่ไปสำรวจโลกใต้น้ำได้ หรือใส่ประดับออกงานก็ย่อมได้เพราะแม้จะใช้ชื่อ Lady แต่เรือนนาฬิกาชิ้นนี้ก็ยังเป็น Rolex ที่ถึกทนและพึ่งพาได้ จุดเด่นของรุ่นนี้ก็เหมือนรุ่นแรกคือมีหน้าต่างวันที่พร้อมเลนส์ Cyclops และขอบหน้าปัดแบบเซาะร่อง ปัจจุบัน Lady-Datejust มีตัวเลือกมากมายทั้งขอบหน้าปัดแบบเรียบ เซาะร่อง และประดับเพชร สายนาฬิกาแบบ Jubilee, Oyster และ President มีหน้าปัดหลากหลายสีแต่มีขนาดเดียวคือ 28 มม. ราคาเริ่มต้นอยู่ในช่วง 224,000 – 1,370,000 บาท
PEARLMASTER ความงดงามขั้นสูงสุดของ LADY-DATEJUST
PearlMaster เปิดตัวครั้งแรกในปี 1992 นี่คือเรือนนาฬิกา Lady-Datejust ที่ได้รับการตกแต่งด้วยอัญมณีล้ำค่าอย่างเช่น เพชร แซฟไฟร์ และทับทิม มาพร้อมกับเคสและสายที่ทำจากทองคำ 18 กะรัต เป็นนาฬิกาที่จัดเต็มด้วยสง่าราศีสำหรับสุภาพสตรีอย่างแท้จริง มีให้เลือกสองขนาดคือ 36 และ 34 มม. ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1.3 ล้านบาท
DAY-DATE นาฬิกาของเหล่าผู้นำ มีวันและวันที่พร้อมเสร็จสรรพ
Day-Date เปิดตัวครั้งแรกในปี 1956 และมีชื่อเล่นว่า “President” เนื่องจาก Marilyn Monroe ได้ซื้อนาฬิกาเรือนนี้ให้กับประธานาธิบดี John F. Kennedy (แม้ว่าท่านจะไม่เคยสวมใส่เลยก็ตาม) นี่คือเรือนนาฬิกาที่มากล้นด้วยภูมิฐานเหมาะสำหรับผู้นำและบุคคลผู้มุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จ ตัวเรือนมาพร้อมกับหน้าต่างแสดง “วันของสัปดาห์ที่สะกดแบบเต็มคำ” ณ ตำแหน่ง 12 นาฬิกา เสริมด้วยหน้าต่างวันที่และขอบ Bezel เซาะร่องเช่นเดียวกับ DateJust วัสดุตัวเคสถูกสลักจากบล็อกแพลทินัม 950 หรือทองคำ 18 กะรัต มี 2 ขนาดให้เลือกคือ 40 และ 36 มม. โดยรุ่น 36 มม. ปี 2019 นั้นจะใช้มาร์คเกอร์ทำจากเพชร ทั้งหมดมาพร้อมสาย President ที่เลือกได้ว่าจะฝังเพชรหรือไม่ และมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1.3 ล้านบาท
CELLINI รุ่นเดียวเท่านั้นที่มีฟังก์ชั่น Moonphase
Cellini เป็นความตั้งใจของ Rolex ที่ต้องการผลิตนาฬิกาที่คำนึงถึงวิถีการผลิตนาฬิกาดั้งเดิมจึงทำให้หน้าตาและเส้นสายของ Cellini ดูอ่อนช้อยกว่ารุ่นอื่น ๆ จุดเด่นที่ชัดเจนที่สุดก็คือหน้าตาคลาสสิคและฟังก์ชั่น Moonphase ซึ่งไม่ธรรมดาตรงที่รูปดวงจันทร์นั้นทำจากแผ่นอุกกาบาตบาง ๆ! ทั้งนี้หากคุณคือแฟนของ Rolex และชอบลวดลายดั้งเดิมและไม่ต้องการฟังก์ชั่น Moonphase ทาง Rolex ก็มี Cellini รุ่นอื่นให้เลือกอีกด้วย นั่นก็คือรุ่น Time ที่บอกเวลาอย่างเดียว รุ่น Date ที่มีหน้าปัดวันที่ และรุ่น Dual Time ที่มีหน้าปัดนาฬิกาอีกเรือนอยู่ด้วย ทั้งหมดมีขนาด 39 มม. และมาพร้อมสายหนังเท่านั้น ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 540,000 บาท ส่วนรุ่น Moonphase มีราคาอยู่ที่ 950,000 บาท
Rolex Professional Models
SKY-DWELLER เรือนนาฬิกาที่อัดแน่นด้วยนวัตกรรมล่าสุด
รุ่นใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมกลไกที่ล้ำ จุดเด่นอยู่ตรงหน้าปัดบอกเวลาโซนที่ 2 แบบ 24 ชั่วโมงที่อยู่ตรงกลางตัวเรือนซึ่งสามารถอ่านค่าได้จากสามเหลี่ยมกลับหัวใต้โลโก้ Rolex นอกจากนี้ยังมีแถบสีแดงที่ปลายมาร์คเกอร์ที่ใช้บอกเดือน ท้ายสุดที่ดูจะธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาคือหน้าต่างวันที่ที่แตกต่างจากรุ่นอื่นคือเป็นฟังก์ชั่น Annual Perpetual ที่สามารถบอกวันที่ในแต่ละเดือนได้อย่างถูกต้องไม่ว่าเดือนนั้นจะมี 31, 30, 28, หรือ 29 วัน ในขณะที่รุ่นอื่นต้องมาปรับเองทุกเดือน นี่แหละคือ Sky-Dweller นาฬิกาสำหรับผู้ที่เดินทางข้ามฟ้าบ่อย ๆ หรือจะเป็นใครก็ได้ที่หลงใหลในกลไกที่ล้นด้วยนวัตกรรมจาก Rolex ตัวเรือนมีขนาด 42 มม. มีให้เลือกทั้งวัสดุที่ทำจากทองคำและทองคำผสมโลหะ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 511,000 บาท จนไปถึง 1.6 ล้านในรุ่นทองคำล้วน
EXPLORER ถึกทนที่สุดเพื่อนักสำรวจทุกคน
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าโมเดล Explorer นั้นมีทั้งหมดสองรุ่นคือรุ่น I และ II ซึ่งทั้งสองรุ่นสามารถกันน้ำ กันกระแทก กันสนามแม่เหล็ก และมีความเสถียรภาพสูงเมื่อต้องเจอกับความผันผวนของอุณภูมิ ซึ่งเหมาะสำหรับนักสำรวจอย่างยิ่ง หน้าตาของ Explorer I มีดีไซน์คลาสสิคและโดดเด่นด้วยหน้าปัดสีดำพร้อมตัวเลข 3, 6, และ 9 ขนาดใหญ่พร้อมกับมาร์คเกอร์และเข็มเรืองแสงเพื่อให้อ่านเวลาได้ง่ายดาย ตัวเรือนใช้วัสดุ Oystersteel มีขนาด 39 มม. ที่ราคา 231,000 บาท ส่วนรุ่น Explorer II มีหน้าปัดสีดำพร้อมมาร์คเกอร์เรืองแสงเหมือนเดิม ที่เพิ่มเข้ามาคือขอบ Bezel บอกเวลาแบบ 24 ชั่วโมง ซึ่งอ่านค่าได้ผ่านทางเข็มสีส้มเพื่อให้นักสำรวจทราบแน่ชัดว่าเวลาตอนนั้นเป็นกลางวันหรือกลางคืน เมื่ออยู่ในพื้นที่อย่างขั้วโลกเหนือหรือในถ้ำ นอกจากนี้ Explorer II ยังมีหน้าต่างวันที่เหมือนในรุ่น Datejust อีกด้วย ตัวเรือนมีขนาด 42 มม. และหากคุณไม่ใช่นักสำรวจทาง Rolex ก็มีรุ่นหน้าปัดสีขาวให้เลือกซื้อเช่นกัน ราคาค่าตัวอยู่ที่ 287,000 บาท
SUBMARINER นาฬิกาดำน้ำที่สุดแสนจะ Iconic
Submariner คือความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของ Rolex ที่สามารถผลิตนาฬิกากันน้ำได้ลึกถึง 100 เมตรเป็นครั้งแรก เป็นแม่แบบของนาฬิกาดำน้ำทุกเรือนในโลกทั้งด้านฟังก์ชั่นและหน้าตา ซึ่ง Submariner ยังเป็นหนึ่งในรุ่นที่ Iconic ที่สุดอีกด้วย สาเหตุเป็นเพราะ James Bond นำแสดงโดย Sean Connery ได้เลือกสวมใส่และใช้งานฟังก์ชั่นจับเวลาจริง ๆ ในภาพยนตร์ ปัจจุบัน Submariner สามารถดำน้ำได้สูงสุดถึง 300 เมตร มีจุดเด่นที่ชัดเจนคือมาร์คเกอร์ทรงสามเหลี่ยมที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา มีขอบหน้าปัดแสดงตัวเลขได้ถึง 60 นาทีที่สามารถหมุนได้เพื่อใช้จับเวลาว่านักดำน้ำลงน้ำไปนานเท่าไหร่แล้ว แถมมาร์คเกอร์ทั้งบนขอบ Bezel และหน้าปัดสามารถเรืองแสงในน้ำได้อีกด้วย ตัวเรือนมีขนาด 40 มม. มีหน้าปัดให้เลือกสามสีคือดำ น้ำเงิน และที่ฮิตที่สุดคือสีเขียวที่มีชื่อเล่นว่า “Hulk” เรือนนาฬิกา Submariner มีสองรุ่นคือรุ่นปกติและรุ่น Date ที่มีหน้าต่างวันที่เพิ่มเข้ามา ราคาเริ่มต้นที่ 265,000 บาท
SEA-DWELLER และ DEEPSEA นาฬิกาที่ดำน้ำได้ลึกกว่า SUBMARINER
Sea-Dweller (ภาพซ้าย) คือนาฬิกาได้รับการออกแบบมาเพื่อนักดำน้ำมืออาชีพเป็นการต่อยอดจาก Submariner เพราะมันสามารถลงน้ำได้ลึกถึง 1,220 เมตร ส่วน Deepsea (ภาพขวา) นั้นเกิดมาเพื่อโครงการ Deepsea Challenge ซึ่งใช้ในการสำรวจห้วงทะเลลึก ทำให้นาฬิกาเรือดำน้ำเรือนนี้สามารถดิ่งลงมหาสมุทรได้ลึกถึง 3,900 เมตร! ส่วนเรื่องหน้าตานั้นทั้ง Sea-Dweller และ Deepsea ต่างมีดีไซน์ที่คล้ายกับ Submariner อย่างมาก จุดต่างที่สังเกตได้ชัดเจนคือความหนาซึ่งทั้งคู่นั้นหนากว่า Submariner และ Deepsea เนื่องจากต้องมีตัวระบายก๊าซฮีเลียม (Helium Escape Valve) และทั้งคู่ยังมีขอบ Bezel ที่มีเส้นสเกลละเอียดกว่า Submariner นอกจากนี้ Deepsea นั้นเป็นรุ่นเดียวที่ไม่มีเลนส์ Cyclops ตัวเรือน Sea-Dweller มีขนาด 43 มม. ราคาเริ่มต้นที่ 437,000 บาท ในขณะที่ Deepsea มีขนาด 44 มม. ที่ราคา 403,000 บาท
GMT-MASTER II บอกเวลาสองโซนด้วยสีทูโทน
หากพบเจอนาฬิกา Rolex สีทูโทนเมื่อไหร่ก็ขอให้รู้เลยว่านี่คือรุ่น GMT-Master II โดดเด่นด้วยขอบหน้าปัดบอกเวลาโซนที่สองสีทูโทนที่มีชื่อเล่นมากมาย เช่น แบทแมท (สีน้ำเงิน-ดำ) รูทเบียร์ (สีดำ-น้ำตาล) หรือ เป๊ปซี่/โค้ก (สีแดง-น้ำเงิน) หรือจะเป็นสีดำล้วนสีเดียวก็มีเช่นกัน เปิดตัวครั้งแรกอย่างเป็นทางการในฐานะนาฬิกาของสายการบิน Pan American World Airways ซึ่งรุ่น I และ II นั้นมีหน้าตาที่เหมือนกันแต่จะแตกต่างกันที่วัสดุขอบหน้าปัดโดยรุ่น II จะใช้เซรามิกที่ทนทานต่อรอยขีดข่วนและแสง UV ได้ดีกว่ารุ่น I ที่ใช้ Stainless Steel ตัวเรือนมีขนาดตัวเรือนอยู่ที่ 40 มม. และมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 329,000 บาท
AIR-KING ราชันย์แห่งท้องฟ้ากับนาฬิกานักบิน
Air-King เปิดตัวในปี 1958 เพื่อให้เกียรติแด่นักบินจากกองกำลัง The Royal Air Force ผู้ทำศึกในช่วง The Battle of Britain นี่คือนาฬิกาสำหรับนักบินอย่างแท้จริงจาก Rolex ที่มีจุดเด่นคือหน้าปัดสีดำและมาร์คเกอร์พิเศษที่เป็นการผสมผสานระหว่างตัวเลขชั่วโมง ตัวเลขนาที และรูปทรงสามเหลี่ยม ตัวเรือนมีดีไซน์สไตล์นาฬิกาคลาสสิคมาพร้อมกับเข็มวินาทีและฟ้อน ROLEX สีเขียว ที่ขนาด 40 มม. กับค่าตัวที่ 220,000 บาท
COSMOGRAPH DAYTONA เรือนนาฬิกาแห่งความแรงแซงทางโค้ง
Cosmograph Daytona เปิดตัวครั้งแรกในฐานะนาฬิกาจับเวลาอย่างเป็นทางการประจำสนามแข่งรถ Daytona International Speedway นี่คืออีกหนึ่ง Iconic ของ Rolex ที่ Paul Newman ดาราดังในยุคนั้นเลือกสวมใส่ถ่ายทำภาพยนตร์ จากนาฬิกาที่ผู้คนมองว่าไร้ค่ากลับเป็นนาฬิกาที่มีค่าตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 1,000 เท่า! จุดเด่นที่ชัดเจนคือมีหน้าต่างฟังก์ชั่น Chronograph 3 ช่องบริเวณตรงกลางหน้าปัดที่ใช้จับเวลาแบบวินาที นาที และชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีขอบ Bezel ที่เรียกว่า “Tachymeter” ซึ่งสามารถหาอัตราความเร็วของรถยนต์ในหน่วย 1 ไมล์/กิโลเมตรต่อนาทีได้ ตัวเรือนมีขนาด 40 มม. และมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 440,000 บาท
MILGAUSS เรือนนาฬิกาที่นักวิทยาศาสตร์ต่างยอมรับ
Milgauss ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการทดลองวิทยาศาสตร์ที่ต้องการนาฬิกาที่สามารถทนต่อสนามแม่เหล็กได้สูงสุดถึง 1,000 เกาส์ นี่คือนาฬิกาที่นักวิทยาศาสตร์ที่ CERN ต่างเลือกสวมใส่ จุดเด่นที่ชัดเจนที่สุดของ Milgauss คือเข็มวินาทีสีส้มทรงสายฟ้าและขอบสีเขียวสะท้อนแสงที่ทำจากแซฟไฟร์คริสตัลสีเขียว ตัวเรือนมีขนาด 40 มม. มีให้เลือกสองแบบคือแบบหน้าปัดสีดำหรือสีน้ำเงิน โดยมีค่าตัวอยู่ที่ 291,000 บาทเท่านั้น
YACHT-MASTER นาฬิกาของนักเดินเรือบนพื้นน้ำ
Yacht-Master คืออีกหนึ่งรุ่นที่มีทั้งรุ่น I และ II โดยรุ่นแรกนั้นเปิดตัวในปี 1992 สามารถกันน้ำได้เพียง 100 เมตรเท่านั้น เรื่องดีไซน์ถ้าจะให้สังเกตง่าย ๆ ก็คงต้องดูที่รูปสามเหลี่ยมตรงขอบหน้าปัดซึ่ง Yacht-Master จะไม่มีมาร์คเกอร์เรืองแสง แต่ขอบหน้าปัดของ Yacht-Master สามารถหมุนได้สองทิศทาง เพื่อใช้คำนวณเวลาร่องเรือ มีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 37, 40, และ 42 มม. และพิเศษสุดก็สายข้อมือ Oysterflex ที่มีลักษณะคล้ายสายยางแต่ทนทานได้ดีเท่ากับโลหะเลยทีเดียว ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 460,000 บาท ส่วน Yacht-Master II นั้นสามารถสังเกตได้จากขอบ Bezel ที่มีตัวเลข 0 – 10 และชื่อ “YACHT-MASTER” สลักอยู่ สำหรับหน้าปัดก็มีหน้าปัดจับเวลาขนาดใหญ่พร้อมตัวเลข 0 – 10 ซึ่งมีไว้เพื่อใช้ฟังก์ชั่นนับถอยหลังโดยคุณสามารถตั้งเวลานับถอยหลังได้ตั้งแต่ 1 – 10 นาที นี่คือฟังก์ชั่นพิเศษเอกสิทธิ์เฉพาะ Yacht-Master เท่านั้น เสริมด้วยหน้าต่างเข็มวินาทีที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา ตัวเรือนมีขนาด 44 มม. และมีค่าตัวอยู่ที่ 664,000 บาท
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Rolex มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Patek Philippe มือสอง ได้ที่นี่
ตรวจสอบ ราคานาฬิกา Audemars Piguet (AP) มือสอง ได้ที่นี่
Auction House เว็บไซต์ ซื้อ - ขาย นาฬิกามือสอง ของแท้ ตรวจสอบราคา Rolex, Patek philippe, Audemars Piguet (AP), Omega, Panerai, IWC, Hublot, Cartier, Franck muller ได้ที่นี่RELATED POSTS
Our recent work